ชุดวิวาห์ของเจ้าเป็นดั่งเปลวไฟและแผดเผาถึงส่วนที่มิอาจเข้าถึง
จากนี้ไปตะวันยอแสงจะตราใจของข้าดั่งชาด
ทุกคนต่างบอกว่าดอกท้อที่บานสะพรั่งในดวงตาของเจ้าช่างงดงามเหลือเกิน
แต่แล้วในช่วงราตรี ดอกท้อที่บานสะพรั่งกลับล่วงหล่นดั่งสายฝนพรำ
ข้าถามมีผู้ใดให้ข้ายืมเพื่อย้อนกลับไป
เพื่อที่จะไปต่อสู้กับปัจจุบันและติดตามความทรงจำ กลับไปสู่ปีที่หายวับไปแสนไกลเท่านั้น
เพลงช่างเย่ที่เจ้าเคยร้องให้ข้าฟังเบาๆ
อยากจะพบเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง
ในปีเก่าๆเหล่านั้นที่ต้องอยู่ห่างไกลกัน
ข้าหัวเราะที่เจ้าให้สัญญาอย่างง่ายดาย
โชคชะตาแสนสุขในงานวิวาห์ของเจ้า
มันคือเจ้าผู้ที่ใช้ทั้งชีวิตร้องเพลงช่างเย่
และหากข้ายังย้อนกลับไปจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างง่ายดาย
ปีนั้นในฉางอาน บุปผากำลังล่องลอยอยู่ทั่วท้องนภา
ข้าได้ยินว่าสายลมฤดูใบไม้ผลิกำลังร้องไห้เป็นสายเลือดอยู่นอกกำแพงเมืองจีน
ข้าได้กลิ่นเลือดจางๆ ซึ่งถูกพัดพาไปด้วยลมที่หนาแน่นและเร่าร้อนดั่งสุรา
หูของข้าได้ยินเสียงของสงครามที่ลุกท่วมผืนป่ากว้างใหญ่
ในแสงไฟเมื่อห่านป่าบินกลับไปด้วยความสะอื้น
โอ้ว่าแสนไกลจากเสียงของน้ำตาไหลนอง
นั่นคือเพลงช่างเย่ที่เจ้าเคยขับกล่อม
จากนี้ไปข้าคงมิอาจได้ยินมันอย่างชัดเจนอีกแล้ว
เวลาที่ไหลไปเหมือนสายน้ำที่ไม่มีสิ่งใดจะต่อกรได้
แผ่นดินนี้มีมานานแล้วพ้องกับการจากลาชั่วนิรันดร์ของข้ากับเจ้า
และเพื่อให้เจ้าสลักชื่อเอาไว้ในพงศาวดาร
ให้ข้าเป็นคนสลักแทนเจ้าก่อนสุสานของข้า
บุปผาที่ล่องลอยได้โปรยปรายอีกคราในฤดูกาลนี้
และชุดวิวาห์ของเจ้าร้อนแรงกว่าบุปผาที่ล่องลอย
ส่วนริมฝีปากของเจ้าเหมือนกำลังขับร้องเพลงช่างเย่อีกครั้ง
แต่สิ่งที่เจ้าพูดคือ ข้าต้องการที่จะตัดความสัมพันธ์กันท่าน